สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ประเทศอิสระทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา แผ่นดินที่ผสมผสานความดิบของธรรมชาติ และความศิวิไลซ์ของสังคมเมืองได้อย่างลงตัว ชนิดที่เที่ยวครบจบในประเทศเดียว ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ชายฝั่ง ทะเลทราย หรือผืนป่าเขียวชะอุ่ม ไปจนถึงความอลังการของสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างจากน้ำมือของมนุษย์
สิ่งที่โดดเด่นเป็นสัญลักษณ์หลักของประเทศแห่งนี้คือ ภูเขารูปทรงโต๊ะลูกใหญ่ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลกธรรมชาติตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง สามารถมองเห็นได้จากทั่วทุกมุมเมือง
กิจกรรมหลักของการมาเยือนประเทศแอฟริกาใต้แห่งนี้ ไม่ได้ต่างจากกิจกรรมของประเทศแห่งอื่นในแอฟริกามากนัก นั่นก็คือเที่ยวซาฟารี ส่องสัตว์ ตามล่าหา Big 5 การล่องเรือชมแมวน้ำ หรือนกแพนกวิน ที่พร้อมใจกันออกมาทักทายมนุษย์ได้อย่างไม่เกรงกลัว
แต่เสน่ห์อีกหนึ่งอย่างของประเทศแห่งนี้คือความซิวิไลซ์ของตัวเมืองที่ก่อสร้างอย่าง เมืองอลังการที่เป็นที่กล่าวขานมากที่สุดคือ Sun City หรือ The Lost City เมืองลับแลแห่งหุบเขาแสงตะวัน เป็นเมืองที่อภิมหาเศรษฐีรายใหญ่ของแอฟริกา ทุ่มเงินเป็นหมื่นล้านเพื่อเนรมิตพื้นที่ว่างเปล่า อันแห้งแล้งเป็นเมืองสวยงามอลังการ เป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คที่ไม่ควรพลาด เมื่อได้ไปเยือนประเทศแอฟริกาใต้
ส่องสัตว์ป่าหายากมากมาย เช่น ม้าลาย ยีราฟ เสือดาว นกกระจอกเทศ และ 5 สัตว์ใหญ่หรือ Big 5 ซึ่งพวกมันจะทำให้ท่านประทับใจในทันที ออกผจญภัยในตอนกลางคืนเพื่อชมแมงมุม และแมงป่อง
ท่านจะได้สัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ท่านยังจะชมทุ่งหญ้าทั้งในแบบนั่งรถ และนั่งบอลลูนที่จะทำให้ท่านได้ชมวิวในแบบ 360 องศา
ชมบ่อเกลือ และล่องเรือชมธรรมชาติ ที่ยังอนุรักษ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และพักแรมในแคมป์ ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
สำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ในธรรมชาติอันเร้นลับของแอฟริกา เพลิดเพลินไปกับนั่งรถชมสัตว์พร้อมสัมผัสความงามของป่าไม้ในอุทยานแห่งชาติซัมบูรู (Samburu National Reserve) แล้วบินข้ามไปชมความงดงามของ เกรตริฟต์แวลลีย์ (Great Rift Valley)
เปิดประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ณ อุทยานแห่งชาติมาไซ มารา (Masai Mara National Reserve) ตื่นตาตื่นใจกับการชมสัตว์ป่า ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งชมสัตว์ที่ดีที่สุดในโลกที่เซเรนเกติ (Serengeti) และสัมผัสกับสัตว์ใหญ่ทั้ง 5 (Big Five) เมื่อคุณลงไปยังพื้นที่อนุรักษ์อึงโกรองโกโร (Ngorongoro Crater)
คลิกเพื่อดูแผนที่ตั้งอยู่ในเมืองพริทอเรีย (Pretoria) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแอฟริกาใต้ สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1949 เพื่อรำลึกถึง Voortrekker หรือกลุ่มผู้บุกเบิกชาวดัตช์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบริเวณที่เป็นแอฟริกาใต้ในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่มาก มีความสูง 40 เมตร กว้าง 40 เมตร สร้างจากหินแกรนิต และมีการแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตร โดยได้รับอิทธิพลมาจากกรีก และโรมันโบราณ
เป็นจุดหมายยอดนิยมของการมาเที่ยวแอฟริกาใต้ เป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มองไปทางไหนก็เจอแต่วิวสวยๆ ที่ทำให้หลงรัก อากาศดี มีที่เที่ยวเยอะ กิจกรรมหลากหลาย ถ้าใครมีเวลาไม่มาก มาเคปทาวน์เมืองเดียวก็คุ้มแล้ว เพราะที่นี่มีทุกอย่างทั้งชายหาด ภูเขา สัตว์ป่า พิพิธภัณฑ์ แหล่งชอปปิ้ง บาร์คราฟต์เบียร์ สตรีทฟู้ด รวมไปถึงเส้นทางขับรถที่สวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลย
ที่เที่ยวแอฟริกาใต้ สำหรับคนที่ตั้งใจมาส่องสัตว์ต้อง อุทยานพิลาเนสเบิร์ก เป็นอุทยานขนาดใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่กว่า 550 ตารางกิโลเมตร และยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกหลากสี สัตว์ป่าหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ
โดยเฉพาะ“Big 5” หรือ 5 สัตว์ใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของแอฟริกาใต้ ได้แก่ ช้าง, ควายป่า, แรด, เสือดาว และสิงโต ทางอุทยานมีรถแบบเปิดด้านข้างให้บริการ พร้อมผู้เชี่ยวชาญพาไปชมสัตว์ต่างๆ แบบใกล้ชิดสุดๆ
นอกจากส่องสัตว์ในซาฟารี ต้องไม่พลาดแวะมาชมความน่ารักของแมวน้ำที่ เกาะดูยเกอร์เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ในอ่าวฮูทเบย์ (Hout Bay) ใกล้กับเมืองเคปทาวน์มี แมวน้ำเคปเฟอร์ซีล หรือแมวน้ำแอฟริกา อาศัยอยู่หลายพันตัว และจะมีจำนวนมากที่สุดในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม โดยจะมีบริการล่องเรือพาไปชมฝูงแมวน้ำที่ออกมานอนอาบแดด
สถานที่นี้ในอดีตมีโบสถ์ตั้งอยู่กลางจัตุรัสจริงๆ จึงได้ชื่อว่า จัตุรัสเชิร์ช แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยอนุสาวรีย์ของ อดีตประธานาธิบดี Paul Kruger บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ เช่น อาคารรัฐสภา สถานทูต ธนาคารกลาง ศาลาว่าการไปรษณีย์ รวมถึงศาลที่เคยใช้เป็นที่พิพากษา เนลสัน แมนเดลา รัฐบุรุษแห่งแอฟริกาใต้ และยังเป็นพื้นที่ที่ยังเชื่อมต่อไปยังถนนที่มีร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่มากมาย
ทุกวันพุธเวลาประมาณ 09.00 - 10.00 น. จะมีการเดินขบวนสวนสนามเข้าสู่จตุรัสของทหารให้ได้ชมอีกด้วย
เป็นจุดที่มหาสมุทรอินเดียบรรจบกับมหาสมุทรแอตแลนติกพอดี วิวสวยมากแต่บริเวณนี้สภาพอากาศแปรปรวน คลื่นลม และกระแสน้ำแรง ในอดีตจึงไม่มีใครสามารถแล่นเรือข้ามไปได้ จนกระทั่ง Bartolomeu Dias นักเดินเรือชาวโปรตุเกส ฝ่าพายุมาขึ้นฝั่งสำเร็จเป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1488 จึงตั้งชื่อว่า “Cape of Storms”
ต่อมาพระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งโปรตุเกส เปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น “Cape of Good Hope” เพื่อสื่อถึงความหวังในการเดินทางจากยุโรปไปค้าขายยังอินเดีย เหมาะแก่การชมวิวเพลิดเพลินกับความสวยงามของธรรมชาติ